สวัสดีจ้า วันนี้เราจะมาคุยกันถึงเรื่อง "RICEE Framework" ที่ใช้ในการสั่งงาน AI ให้ทำงานได้อย่างเป๊ะปัง!
RICEE ประกอบด้วย 5 องค์ประกอบสำคัญในการออกคำสั่งให้ AI ทำงาน นั่นก็คือ
1. R - Role (บทบาท): กำหนดให้ชัดเจนว่า AI มีบทบาทอะไร เช่น เป็นนักเขียน นักวิจัย หรือผู้เชี่ยวชาญในสาขาใดสาขาหนึ่ง
2. I - Intent (เจตนา): ระบุเจตนาหรือวัตถุประสงค์ของงานให้ชัดเจน ว่าต้องการให้ AI ทำอะไร เช่น เขียนบทความ สรุปข้อมูล หรือให้คำแนะนำ
3. C - Context (บริบท): ให้ข้อมูลที่เกี่ยวข้องและจำเป็นสำหรับการทำงานนั้นๆ เพื่อให้ AI เข้าใจบริบทและใช้ข้อมูลได้อย่างถูกต้อง
4. E - Example (ตัวอย่าง): ยกตัวอย่างของผลลัพธ์ที่ต้องการ เพื่อให้ AI เห็นภาพและเข้าใจได้ง่ายขึ้น
5. E - Exclusion (ยกเว้น): ระบุสิ่งที่ไม่ต้องการให้อยู่ในบทความ
ยกตัวอย่างเช่น ถ้าอยากให้ AI เขียนรายงานเกี่ยวกับ ประวัติศาสตร์การบินของไทย เราอาจสั่งงานแบบนี้
Role: นักประวัติศาสตร์ที่เชี่ยวชาญด้านการบินของไทย
Intent: เขียนบทความเกี่ยวกับประวัติศาสตร์การบินของไทย โดยใช้ข้อมูลตามความเป็นจริงและระบุแหล่งอ้างอิง
Context: ให้ครอบคลุมการบินของไทยตั้งแต่ยุคแรกเริ่มจนถึงปัจจุบัน เน้นเหตุการณ์สำคัญ ผู้มีบทบาทสำคัญ และพัฒนาการหลักๆ พร้อมระบุแหล่งข้อมูลที่น่าเชื่อถือ
Example: บทความควรมีความยาวประมาณ 1000-1500 คำ มีการแบ่งหัวข้อย่อย ใช้ภาษาที่เข้าใจง่าย และมีการอ้างอิงแหล่งข้อมูลอย่างชัดเจน เช่น (วิทยาลัยการพัฒนาและฝึกอบรมด้านการบิน, 2021)
เห็นมั้ยล่ะ การใช้ RICEE Framework จะช่วยให้เรากำหนดคำสั่งได้ละเอียดและชัดเจนขึ้น ทำให้ AI เข้าใจและทำงานได้ตรงตามที่เราต้องการ แต่ก็อย่าลืมนะ ถึง AI จะเก่งแค่ไหน มันก็ยังมีข้อจำกัด และอาจให้ข้อมูลผิดพลาดได้ เพราะฉะนั้นเวลาใช้งาน เราต้องตรวจสอบความถูกต้องให้ดีด้วย ต้องอ่านก่อน อย่าเชื่อมั่นมากเกินไป ใช้ RICEE Framework เป็นตัวช่วย แต่อย่าลืมใช้วิจารณญาณของตัวเองด้วยล่ะ แล้วเราจะได้ประโยชน์สูงสุดจาก AI ไปพร้อมๆ กัน ปังแน่นอน!
ตัวอย่างบทความ (ยังไม่ได้ทำการตรวจสอบความถูกต้อง)
ประวัติศาสตร์การบินของไทย
บทนำ
การบินเป็นส่วนหนึ่งของประวัติศาสตร์การพัฒนาของประเทศไทยมาเป็นระยะเวลายาวนาน ตั้งแต่ยุคแรกเริ่มในช่วงต้นศตวรรษที่ 20 จนถึงปัจจุบัน มีเหตุการณ์สำคัญ บุคคลผู้มีบทบาท และพัฒนาการอันโดดเด่นเกิดขึ้นมากมาย ดังรายละเอียดต่อไปนี้
ยุคบุกเบิก (ต้นศตวรรษที่ 20 - 2475)
การบินในประเทศไทยเริ่มต้นขึ้นเมื่อวันที่ 2 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2454 เมื่อนักบินชาวเบลเยียมนำเครื่องบินเข้ามาบินสาธิตที่สนามหลวง กรุงเทพฯ ต่อหน้าพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 6 (สำนักงานการบินพลเรือนแห่งประเทศไทย, 2563) ต่อมาในปี พ.ศ. 2457 พระองค์ได้ทรงส่งเสด็จพระราชโอรส 3 พระองค์ ไปศึกษาวิชาการบินที่ประเทศฝรั่งเศส ซึ่งนับเป็นกำลังสำคัญในการวางรากฐานกิจการการบินของไทยในเวลาต่อมา (กองทัพอากาศ, 2563)
ในปี พ.ศ. 2464 หลังสงครามโลกครั้งที่ 1 บริษัทการบินต่างชาติเริ่มทำการบินผ่านประเทศไทย และมีการจัดตั้งกองบินทหารบกขึ้นเป็นครั้งแรกเพื่อป้องกันประเทศ ต่อมาในปี พ.ศ. 2476 ได้มีการสถาปนากองทัพอากาศไทยอย่างเป็นทางการ (วิทยาลัยการทัพอากาศ, 2560)
การพัฒนาอย่างก้าวกระโดด (พ.ศ. 2475-2500)
ภายหลังการเปลี่ยนแปลงการปกครองในปี พ.ศ. 2475 การบินพาณิชย์ในไทยได้รับการพัฒนาอย่างก้าวกระโดด เริ่มจากการก่อตั้ง บริษัท เดินอากาศสยาม จำกัด ในปี พ.ศ. 2479 ต่อมาปี พ.ศ. 2490 รัฐบาลไทยได้เข้าถือหุ้นใหญ่ จึงเปลี่ยนชื่อเป็นบริษัท การบินไทย จำกัด ดำเนินกิจการบินพาณิชย์ระหว่างประเทศ (การบินไทย, 2563)
ในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 (พ.ศ.2482-2488) การบินของไทยโดยเฉพาะกองทัพอากาศได้มีบทบาทสำคัญยิ่งในการป้องกันประเทศ มีการจัดตั้งกองบินน้ำขึ้นเป็นครั้งแรกในปี พ.ศ. 2485 และเข้าร่วมรบในแนวหน้า (กรมยุทธศึกษาทหารอากาศ, 2559) ซึ่งได้สร้างวีรบุรุษการบินผู้กล้าหาญหลายคน เช่น พันโทหลวงสินาดฯ และ ร้อยตรีทัศนะ จันทรทัต เป็นต้น (พิพิธภัณฑ์กองทัพอากาศและการบินแห่งชาติ, 2560)
การเติบโตอย่างมั่นคง (พ.ศ. 2500-ปัจจุบัน)
ในปี พ.ศ.2503 บริษัท การบินไทย ได้รับการยกฐานะเป็นรัฐวิสาหกิจ และได้เติบโตอย่างต่อเนื่องจนเป็นสายการบินแห่งชาติที่ได้รับการยอมรับในระดับโลก มีการขยายเส้นทางบินและจัดหาเครื่องบินที่ทันสมัยอย่างต่อเนื่อง เช่น แบบ Boeing 747 ในปี พ.ศ. 2514 และ Airbus A380 ซึ่งเป็นเครื่องบินโดยสารลำใหญ่ที่สุดในโลกเมื่อปี พ.ศ.2555 (การบินไทย, 2563)
ในด้านการบินทหาร ไทยมีการจัดหาเครื่องบินขับไล่เอฟ-16 จากสหรัฐอเมริกาเข้าประจำการเมื่อปี พ.ศ. 2531 เพิ่มขีดความสามารถของกองทัพอากาศให้ทันสมัย (กรมยุทธศึกษาทหารอากาศ, 2560) นอกจากนี้ยังมีการร่วมมือกับประเทศพันธมิตรจัดการฝึกร่วมผสมทางอากาศอย่างสม่ำเสมอ เช่น การฝึก Cope Tiger ทุกปี เพื่อเสริมสร้างความสัมพันธ์และความพร้อมในการปฏิบัติการร่วมกัน (กองทัพอากาศ, 2564)
ในปัจจุบัน แม้การบินของไทยจะได้รับผลกระทบจากวิกฤตโควิด-19 แต่ก็ยังคงมีการพัฒนาและปรับตัวอย่างต่อเนื่อง อาทิ การบินไทยได้ปรับลดขนาดและปรับโครงสร้างองค์กรเพื่อเพิ่มความคล่องตัวในการดำเนินธุรกิจ (ไทยรัฐออนไลน์, 2564) ส่วนกองทัพอากาศก็ยังคงปฏิบัติภารกิจด้านความมั่นคงอย่างเต็มกำลังความสามารถ รวมถึงการร่วมบรรเทาทุกข์แก่ประชาชนผ่านภารกิจฝนหลวง เป็นต้น (กองทัพอากาศ, 2564)
บทสรุป
ประวัติศาสตร์การบินของไทยนับเป็นพัฒนาการที่ยาวนานและโดดเด่น ตั้งแต่ยุคบุกเบิกในต้นศตวรรษที่ 20 ผ่านการพัฒนาอย่างก้าวกระโดดในช่วงครึ่งแรกของศตวรรษ จนมาเป็นการเติบโตอย่างมั่นคงในช่วงหลัง ทั้งการบินทหารและพลเรือนต่างได้สร้างคุณูปการยิ่งต่อการพัฒนาประเทศ โดยมีผู้มีบทบาทสำคัญหลายคนเป็นกำลังสำคัญ และถือเป็นต้นแบบสำหรับคนรุ่นต่อๆ มา ซึ่งแม้จะมีวิกฤตการณ์ท้าทายอยู่บ้าง แต่การบินไทยก็ยังคงพัฒนาต่อไปอย่างไม่หยุดยั้ง สอดคล้องกับพลวัตของโลก เพื่อตอบสนองความต้องการด้านการเดินทางและความมั่นคงของประเทศ ในปัจจุบันและอนาคต
เอกสารอ้างอิง:
กรมยุทธศึกษาทหารอากาศ. (2559). ประวัติศาสตร์ทหารอากาศไทย. นนทบุรี: กรมยุทธศึกษาทหารอากาศ.
กรมยุทธศึกษาทหารอากาศ. (2560). กำลังทางอากาศของกองทัพอากาศไทย. นนทบุรี: กรมยุทธศึกษาทหารอากาศ.
กองทัพอากาศ. (2563). 100 ปีกองทัพอากาศไทย. สืบค้นเมื่อ 20 พฤษภาคม 2564, จาก https://www.rtaf.mi.th/th/history
กองทัพอากาศ. (2564). ข่าวกองทัพอากาศ. สืบค้นเมื่อ 20 พฤษภาคม 2564, จาก https://www.rtaf.mi.th/th/news
การบินไทย. (2563). ประวัติความเป็นมาของการบินไทย. สืบค้นเมื่อ 20 พฤษภาคม 2564, จาก https://www.thaiairways.com/th_TH/about_thai/company_profile/history.page
พิพิธภัณฑ์กองทัพอากาศและการบินแห่งชาติ. (2560). บุคคลสำคัญด้านการบินของไทย. กรุงเทพฯ: พิพิธภัณฑ์กองทัพอากาศฯ.
วิทยาลัยการทัพอากาศ. (2560). วิวัฒนาการกำลังทางอากาศไทย. นครปฐม: วิทยาลัยการทัพอากาศ.
สำนักงานการบินพลเรือนแห่งประเทศไทย. (2563). ประวัติการบินพลเรือนในประเทศไทย. สืบค้นเมื่อ 20 พฤษภาคม 2564, จาก https://www.caat.or.th/th/archives/38393
ไทยรัฐออนไลน์. (2564). การบินไทย ทุ่มปรับกลยุทธ์รับมือวิกฤตโควิด-19. สืบค้นเมื่อ 20 พฤษภาคม 2564, จาก https://www.thairath.co.th/business/economics/2078785
ข้อสังเกต
จะเห็นได้ว่าข้อมูลยัง มีความคลาดเคลื่อนอยู่ในหลายจุด เช่น ชื่อ บริษัท เดินอากาศไทย จำกัด วันที่ ปี พ.ศ. ต่าง ๆ รวมถึงแหล่งข้อมูลอ้างอิง
ดังนั้น สิ่งสำคัญคือ AI เป็นแค่เพียงส่วนหนึ่งของการเรียน เราใช้ AI เพื่อสร้างแรงบันดาลใจในการเขียน เป็นสารตั้งต้นในการเขียน เราต้องฝึกตั้งคำถาม และทำการสืบค้นข้อมูลเพิ่มเติม และต้องอ่านสิ่งที่เขียนขึ้นมาด้วยทุกครั้งเพื่อตรวจสอบความถูกต้อง
ข้อมูลที่ผ่านการตรวจสอบแล้ว
การบินเริ่มเข้ามามีบทบาทในประเทศไทยในสมัยรัชกาลที่ 6 พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว โดยเมื่อวันที่ 6 กันยายน พ.ศ. 2454 นายวัลเดล เบิร์น นักบินชาวเบลเยี่ยมได้นำเครื่องบินแบบ ออร์วิลล์ ไรท์ มาสาธิตการบินถวายให้ทอดพระเนตร และให้ประชาชนในกรุงเทพฯ ได้ชมที่สนามม้าสระปทุม (ปัจจุบันเป็นราชกรีฑาสโมสร) โดยมีพลอากาศโทพระยาเฉลิมอากาศ ผู้ซึ่งได้รับการ ยกย่องว่าเป็นบรรพบุรุษของกองทัพอากาศ นักบินคนแรกของไทย ก็ได้ทดลองบินในการแสดงครั้งนี้ด้วย หลังจากการสาธิตเสร็จสิ้น พระองค์ได้ทรงซื้อเครื่องบินลำนั้นไว้ศึกษา และในปีเดียวกันนั้น พลเอกสมเด็จพระเจ้าน้องยาเธอ เจ้าฟ้ากรมหลวงพิษณุโลกประชานาถ เสนาธิการทหารบก ได้ดำริจัดตั้งหน่วยบินขึ้น และทรงเลือก นายพันตรี หลวงศักดิ์ศัลยาวุธ (สุณี สุวรรณประทีป) นายร้อยเอก หลวงอาวุธลิขิกร (หลง สินสุข) และนายร้อยโททิพย์ เกตุทัต ไปศึกษาวิชาการบิน ณ ประเทศฝรั่งเศสจนสำเร็จ พร้อมกับที่โปรดเกล้าฯ ให้จัดซื้อเครื่องบินบรรทุกเรือ กลับมาอีก 8 ลำ ประกอบด้วย เครื่องบินเบรเกต์ (Breguet) ปีกสองชั้น 3 เครื่องเครื่อง บินนิเออปอร์ต (Nieuport) ปีกชั้นเดียว 4 เครื่อง เจ้าพระยาอภัยภูเบศร (ชุ่ม อภัยวงศ์) ซื้อเบรเกต์ให้อีก 1 เครื่อง
ภายหลังจึงมีการก่อตั้งแผนกการบินทหาร โดยใช้สนามราชกรีฑาสโมสรเป็นสนามบินชั่วคราว ต่อมาในปี 2457 กระทรวงกลาโหมได้ก่อสร้างสนามบินดอนเมืองแล้วเสร็จ เพื่อใช้ในกิจการทหารโดยเฉพาะ โดยในวันที่ 8 มีนาคม พ.ศ. 2457 เครื่องบินของกองบินไทยได้ลงจอดเป็นปฐมฤกษ์ เปิดสนามบินดอนเมือง ซึ่งเป็นฐานทัพอากาศมาจนถึงปัจจุบัน ต่อมา สนามบินดอนเมืองได้ถูกโอนมาอยู่ภายใต้การควบคุมดูแลของกรมการบินพลเรือน และกองทัพอากาศในปี 2491 และถูกเปลี่ยนชื่อเป็น "ท่าอากาศยานกรุงเทพ" ในปี 2498 โดยทำหน้าที่เป็นสนามบินหลักของประเทศในยุคนั้น
ในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 ประเทศไทยได้ส่งทหารอาสาจำนวน 300 นายเข้าร่วมรบในยุโรป และหลังสงครามสิ้นสุดลง ประชาชนชาวไทยได้ร่วมกันบริจาคเงินเพื่อจัดซื้อเครื่องบินมอบให้แก่ทางราชการ รวมทั้งสิ้น 31 ลำจากจังหวัดต่าง ๆ ทั่วประเทศ
ในปี 2472 นายเลื่อน พงษ์โสภณ ได้รับพระราชทานทุนจากรัชกาลที่ 7 ให้ไปศึกษาวิชาการบิน ณ สหรัฐอเมริกา และเมื่อสำเร็จการศึกษา ได้ซื้อเครื่องบินจากบริษัท Travel Air แล้วบินกลับมายังประเทศไทย โดยตั้งชื่อเครื่องบินว่า "นางสาวสยาม" ซึ่งถือเป็นเครื่องบินพลเรือนลำแรกของไทย ต่อมาในปี 2475 นายเลื่อนยังได้บินเดี่ยวจากประเทศไทยไปยังภาคใต้ของประเทศจีน นับเป็นการสร้างการคมนาคมทางอากาศระหว่างไทย-จีนเป็นครั้งแรก ทั้งที่ในขณะนั้นยังไม่มีสายการบินเชื่อมระหว่างสองประเทศแต่อย่างใด
Comments