top of page

Climate Anxiety

  • Writer: Sathaworn
    Sathaworn
  • 4 days ago
  • 1 min read

บางคนอาจมองว่าการประชุมว่าด้วยโลกร้อนเป็นเพียงอีกหนึ่งเวทีทางการทูตที่เต็มไปด้วยถ้อยแถลงและคำมั่นอย่างระมัดระวัง


แต่สำหรับกลุ่มนักสิ่งแวดล้อมท้องถิ่น เหตุการณ์หนึ่งกลับสะท้อนอีกมิติที่แทบไม่เคยปรากฏบนเวทีใหญ่


ในระหว่างที่ผู้นำประเทศถกเถียงกันเรื่องเพดานการปล่อยคาร์บอน ชาวบ้านในพื้นที่กลับกำลังนับจำนวนครั้งของไฟป่าที่เกิดขึ้นถี่ขึ้นทุกปี พร้อมคำถามที่ไม่มีใครตอบให้ได้ว่า ความสูญเสียนี้จะกินเวลาอีกนานแค่ไหน


ree

คำถามเล็กๆ ในชายขอบของการประชุม กลายเป็นภาพสะท้อนคำถามใหญ่กว่าเดิมว่า มนุษย์เราควรจะรับมืออย่างไรเมื่อ “การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ” ไม่ได้เป็นเพียงปัญหาทางนโยบายอีกต่อไป แต่แทรกซึมเข้ามาในอารมณ์ การนอน การทำงาน และความเงียบในช่วงค่ำของหลายล้านคนทั่วโลก


ขณะเดียวกัน เนื้อหาในจดหมายข่าว The World: Climate Newsletter เมื่อวันที่ 16 พฤศจิกายน 2025 ยิ่งตอกย้ำว่าพื้นที่ต่อรองบนเวทีโลกไม่ได้ขยับง่าย ๆ


จีนฉายภาพตัวเองว่ากำลังก้าวสู่การเป็นผู้นำด้านพลังงานสะอาด

ขณะที่สหรัฐฯ ยังคงพึ่งพาพลังงานฟอสซิลในสัดส่วนที่ยากจะลดลงในระยะสั้น


แต่ทั้งสองฝ่ายต่างต้องพึ่งพาวัตถุดิบจากการขุดแร่และสกัดทรัพยากร ซึ่งสร้างผลกระทบต่อชุมชนในประเทศกำลังพัฒนา แนวทางที่ดู “เขียว” จึงมีรอยเปื้อนบางอย่างที่หลีกเลี่ยงได้ยาก


และเมื่อระบบเศรษฐกิจขับเคลื่อนด้วยผลประโยชน์ที่ซ้อนทับกัน ความรู้สึกว่างเปล่าของผู้คนที่มองไม่เห็นทางออกจึงเป็นผลลัพธ์ที่สมเหตุสมผลกว่าที่หลายคนอยากยอมรับ


ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา นักจิตวิทยาเริ่มให้ความสนใจต่อคำที่ยังไม่ติดหูเท่าไรในภาษาไทย แต่เป็นคำที่ใช้มากขึ้นเรื่อยๆ ในงานวิจัยสากล นั่นคือ “Climate Anxiety” หรือภาวะวิตกกังวลทางสภาพภูมิอากาศ


ภาวะนี้ไม่ได้เกิดจากความกลัวแบบเฉียบพลัน แต่เกิดจากการเผชิญหน้าแบบต่อเนื่องกับข้อมูล ภาพข่าว และประสบการณ์ที่บอกเราว่าโลกอาจกำลังเดินไปสู่จุดที่ควบคุมไม่ได้


ผู้ที่ได้รับผลกระทบจึงไม่ได้รู้สึกเพียงว่าภัยพิบัติเกิดขึ้นบ่อยขึ้น แต่รู้สึกว่าความสามารถของระบบ ไม่ว่าจะเป็นรัฐบาล ชุมชน หรือแม้แต่วิทยาศาสตร์ อาจไม่เพียงพอที่จะรับมือ


ผลสำรวจในหลายประเทศระบุว่ากว่าครึ่งของคนรุ่นใหม่รู้สึกเครียดหรือมีอาการคล้ายซึมเศร้าหลังรับรู้เรื่องภัยพิบัติด้านสิ่งแวดล้อม ตัวเลขนี้ไม่ได้เกิดขึ้นเพียงเพราะข่าวสารมากขึ้น แต่เพราะผู้คนเริ่มตั้งคำถามกับโครงสร้างที่ควรจะปกป้องโลก แต่กลับให้ภาพของการชะลอความรับผิดชอบ


ความรู้สึก “ไม่มั่นคงเชิงนโยบาย” กลายเป็นแรงกระตุ้นทางอารมณ์ที่แท้จริง และอาจรุนแรงไม่ต่างจากภัยพิบัติทางกายภาพ


นักวิจัยบางส่วนชี้ว่า Climate Anxiety ไม่ได้มีแต่ด้านลบ เพราะมันผลักดันให้เกิดพฤติกรรมเชิงอนุรักษ์ เช่น การลดการบริโภคเนื้อสัตว์ เลือกการเดินทางที่ใช้พลังงานน้อยขึ้น หรือพยายามลดของใช้แบบครั้งเดียวทิ้ง


แต่พฤติกรรมเหล่านี้ก็อาจกลายเป็นภาระทางอารมณ์ได้เช่นกัน เมื่อผู้ปฏิบัติรู้สึกว่าความพยายามของตนเล็กเกินไปเมื่อเทียบกับเสียงเครื่องจักรขนาดยักษ์ที่ยังเดินหน้าในประเทศมหาอำนาจ


ความพยายามส่วนบุคคลจึงอยู่ในสภาวะก้ำกึ่งระหว่าง “การกระทำที่มีความหมาย” และ “การปลอบใจตนเองแบบชั่วคราว” ซึ่งเป็นความไม่แน่นอนที่หลายคนแบกรับไว้โดยไม่มีคำอธิบายชัดเจน


ฝ่ายสาธารณสุขจิตเตือนว่าภาวะนี้อาจนำไปสู่ความเศร้าเรื้อรัง การหลีกเลี่ยงการวางแผนอนาคต หรือแม้แต่ภาวะ PTSD ในบางกรณี


และในโลกที่เต็มไปด้วยข้อมูลแบบเรียลไทม์ เสียงเตือนภัยด้านสภาพภูมิอากาศไม่เคยห่างจากปลายนิ้วเลย ความรู้สึกหนักอึ้งจึงไม่ได้เกิดจากเหตุการณ์เพียงครั้งเดียว แต่จากความต่อเนื่องที่แทบไม่มีช่วงพัก


น่าสังเกตว่าหลายคนไม่ได้กลัวภัยพิบัติเท่ากับกลัวความไร้ทิศทางของระบบที่ควรจะเป็นหลักยึดให้สังคม


ree

ในสายตาของผู้วิจัยด้านพฤติกรรมมนุษย์ Climate Anxiety จึงเป็นผลผลิตของโครงสร้างทางเศรษฐกิจ การเมือง และสื่อสารมวลชนมากพอๆ กับการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศเอง


กรณีจีนและสหรัฐฯ ในการประชุมบราซิลเป็นตัวอย่างที่เห็นได้ชัด

ทั้งสองต่างอ้างความจำเป็นของการเติบโตทางเศรษฐกิจ แต่ก็แข่งขันกันว่าใครเป็นผู้นำโลกด้านพลังงานสะอาด ขณะที่การขุดแร่เพื่อผลิตแบตเตอรี่หรือโซลาร์เซลล์ยังคงสร้างบาดแผลให้กับชุมชนขนาดเล็กในหลายภูมิภาค


ความย้อนแย้งนี้ไม่ได้เกิดขึ้นเฉพาะในระดับประเทศ แต่สะท้อนในระดับบุคคลที่กำลังพยายามปรับพฤติกรรมเล็ก ๆ ของตัวเองในบ้าน


ความตึงเครียดระหว่าง “เรื่องใหญ่เกินไป” กับ “เรื่องเล็กเกินไป” ทำให้ความกังวลทวีคูณขึ้นในหลายชีวิต


งานวิจัยบางชิ้นชี้ว่ากลไกบรรเทาภาวะนี้เกี่ยวข้องกับการสร้างพื้นที่ให้ผู้คนได้พูดคุย แลกเปลี่ยน และหาความหมายของการลงมือทำที่เหมาะกับบริบทของตัวเอง ไม่ว่าจะเป็นการฝึกสติ การเข้าร่วมกิจกรรมในชุมชน หรือการขอคำแนะนำจากผู้เชี่ยวชาญด้านสุขภาพจิต


แต่วิธีการเหล่านี้ก็ไม่ได้เป็นคำตอบสำเร็จรูป


เพราะตัวปัญหาไม่ได้อยู่แค่ในจิตใจของบุคคล แต่อยู่ในสภาพแวดล้อมที่บอกเราทุกวันว่าโลกกำลังเปลี่ยนไปเร็วกว่าความสามารถในการปรับตัวของสังคม


ดังนั้น เมื่อมองกลับไปที่คำถามเล็กๆ ในเวทีบราซิล คำถามของผู้ที่เห็นไฟป่าครั้งใหม่ในขณะที่ผู้นำโลกพูดถึง “ความคืบหน้า”


เราจะพบว่าความกังวลไม่ได้เกิดจากการขาดข้อมูล แต่จากการมีข้อมูลมากเกินไปที่ไม่สอดคล้องกับการกระทำของระบบ

และช่องว่างนี้เองที่ทำให้ Climate Anxiety เติบโต


ท้ายที่สุด การสำรวจภาวะ Climate Anxiety อาจไม่ใช่เรื่องของการหาคำตอบว่าใครควรทำอะไรให้ใคร


หากเป็นเรื่องของการทำความเข้าใจว่าความรู้สึกหวั่นไหวของผู้คนกำลังก้าวเข้ามาเป็น “สัญญาณเตือน” แบบเงียบๆ ต่อระบบที่ยังคงชะลอการเปลี่ยนแปลง


ไม่ต่างจากไฟป่าที่เริ่มต้นจากจุดเล็กๆ แต่ขยายตัวเพราะไม่มีใครคิดว่ามันสำคัญพอที่จะรีบจัดการ


บางที ภาพความกังวลที่เพิ่มขึ้นในใจของผู้คนอาจกำลังบอกอะไรบางอย่างเกี่ยวกับวิธีที่โลกกำลังเดินต่อไป

และอาจชวนให้เราตั้งคำถามกับความสัมพันธ์ระหว่างโครงสร้างอำนาจขนาดใหญ่กับอารมณ์เล็ก ๆ ในชีวิตประจำวัน



  1. Frontiers in Psychology. (2023). Climate anxiety, coping strategies and planning for the future.

  2. ScienceDirect. Climate anxiety, wellbeing and pro-environmental action.

  3. The Lancet. Climate anxiety in children and young people and their beliefs about government responses.

  4. The psychology of climate anxiety - PMC, PubMed Central - NIH. (2020).

  5. Greenpeace Thailand. (2023). ทำความรู้จัก Eco-anxiety ความวิตกกังวลจากปัญหาสิ่งแวดล้อม และวิธีมองโลกอย่างมีหวัง.

  6. journals.sagepub.com. (2024). The climate anxiety compass: A framework to map coping strategies.

  7. gridmag.safesavethai.com. (2023). Climate Anxiety ใจป่วยเพราะโลกปั่นป่วน.

  8. Yale Environment. (2025). Anxiety About Climate Change Is Spurring Action.

  9. The United States and China on the paths and policies to decarbonization. ScienceDirect. (2022).



Wix Cover Photos (4)_edited.png

"เพราะสงสัย จึงได้ค้นหา ความรู้ที่ได้มา จึงขอแบ่งปัน"
ที่ Brainboosted เราเชื่อว่าคำถาม และข้อสงสัยคือจุดเริ่มต้นของการเรียนรู้

ยิ่งเราสงสัยมากเท่าไหร่ เราก็ยิ่งได้ศึกษาค้นคว้ามากขึ้นเท่านั้น

และเมื่อเราได้ความรู้มาแล้ว สิ่งที่ดีที่สุดคือการส่งต่อ

การแบ่งปันความรู้ การต่อยอดความคิด จะช่วยเปลี่ยนแปลงโลกใบนี้ให้ดีขึ้น
Brainboosted คือพื้นที่แห่งการแลกเปลี่ยน หากคุณมีคำถาม เราจะพยายามหาคำตอบ

ความรู้คือของขวัญ และเราเชื่อว่าการให้คือการรับที่ยิ่งใหญ่ที่สุด

©2023 by Brainboosted. Proudly created with Wix.com

bottom of page